1. ศาลพ่อตาขุนทะเล
พ่อตาขุนทะเลหรือพ่อตาขุนเลที่ชาวใต้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกกันนั้นเป็นสิ่งศักสิทธิ์ที่ผู้คนชาวสมหวังเเละในอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้นให้ความเคารพบูชา เเละมีการมาบนบานต่อศาลอยู่บ่อยครั้งเพราะว่าคนที่มาบนบานนั้นมักจะสมตามความปรารถนาที่เคยบนบานไว้ต่อศาลพ่อตาขุนทะเลอยู่เสียมากซึ่งของในการบนบานพ่อตาขุนทะเลนั้นสามารถบนด้วยไก่ ประทัด ไข่ต้มหรือจะแล้วแต่ผู้มาบนบานก็ได้
สำหรับประวัติของพ่อตาขุนทะเลนั้นพ่อตาขุนทะเลท่านร่ำเรียนวิชาเเขนงไสยศาสตร์ต่างๆ หรือคาถาอาคมด้วยกันกับพ่อพญาท่าข้าม พ่อตาหมอนทองเเละพ่อตาหินช้าง ซึ่งสมัยก่อนนั้นมีการร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆ เป็นเรื่องปกติซึ่งแต่ละคนนั้นก็เรียนวิชาแตกต่างกันไปตามที่ตนชอบ
ซึ่งตัวท่านพ่อตาขุนทะเลนั้นท่านร่ำเรียนวิชาจนกระทั่งเเกร่งกล้าเเละสามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้ ทว่าวันหนึ่งท่านได้แสดงวิชาให้กับลูกศิษย์ดูแล้วสั่งไว้ว่า " ถ้าข้าเป็นจระเข้ขึ้นมาจากน้ำให้เอาน้ำมนต์ในขันรดแล้วข้าจะกลับร่างมาเป็นมนุษย์ " แต่เมื่อจระเข้ยักษ์ใหญ่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ลูกศิษย์กลับกลัวจนทำขันน้ำมนต์ตกเลยทำให้พ่อตาขุนทะเลนั้นกลับร่างมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่พ่อตาขุนทะเลท่านก็คอยช่วยเหลือผู้คนมาโดยตลอดและแม่น้ำแถบที่พ่อตาขุนทะเลกลายร่างเป็นจระเข้นั้นมักจะมีจระเข้อยู่มากในสมัยนั้นเเต่ไม่เคยทำร้ายใคร หากแต่มีข้อแม้ว่าเวลามีงานใดๆ ที่ต้องผ่านทางที่ท่านอยู่ให้จุดประทัดเบิกทางก่อน ท่านก็จะให้จระเข้ทุกตัวหลบทางให้
ในสมัยก่อนนั้นมีการจุดธูปเเละเรียกท่านให้ปรากฏตัวซึ่งเมื่อจุดธูปขอเห็นร่างท่านก็จะมีจระเข้ตัวใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น เเต่ในปัจจุบันมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่ามีคนมาบนหนังตะลุงและพบเห็นท่านสามารถแปลงกายกลับมาเป็นคนได้เเล้วมานั่งดูหนังตะลุงที่มาแสดงถวายพ่อตาขุนทะเล เเละนี่ก็คือประวัติที่มาเเละเรื่องราวตำนานที่เล่ากันต่อๆมาในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรื่องหนึ่ง หากอยากทราบถึงความศักสิทธิ์ก็สามารถมากราบไหว้ขอพรกันได้
ที่วัดท่าอู่ วัดกลางใหม่เเละวัดสมหวัง อ.เมือง ต.วัดประดู่ จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งทางวัดสมหวังได้จัดสร้างพ่อตาขุนทะเลรุ่นแรกให้ชาวบ้านได้เก็บไว้บูชาซึ่งสร้างขึ้นมาประมาณ 5000เหรียญมี สีเขียวกรรมการ สีก้นครก สีขาวและสีแดงเเละทางวัดก็ไม่มีเช่าแล้ว จึงสามารถการันตีได้ถึงความศักสิทธิ์ของพ่อตาขุนทะเลที่มีต่อคนในท้องที่ได้
ที่มาอ้างอิงจาก : กราบไหว้ขอพรพ่อตาขุนทะเล https://web.facebook.com/1792896774271994/photos/a.1792899110938427/1794969790731359/?type=3&_rdc=1&_rdr
2. หินตาหินยาย
หินตาหินยาย เป็นโขดหินรูปร่างประหลาด โดยหินตาเป็นหินแกรนิตที่มีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชายที่เกิดจากการกัดเซาะโดยน้ำทะเล สายลม และแสงแดด ส่วนหินยายมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศหญิง เกิดจากการผุกร่อนของหน้าผาชายฝั่งทะเลเนื่องจากถูกคลื่นกัดเซาะ
ตำนาน หินตาหินยาย ตามนิทานท้องถิ่นเกาะสมุย เล่าต่อ ๆ กันมาว่า นานมาแล้วมีตายาย คู่หนึ่ง ชื่อตาเครงและยายเรียม เป็นชาวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางโดยเรือใบเพื่อจะไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่าย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้กับลูกชายชื่อคง โดยมีนายท้ายเรือ คือนายปราบเพื่อนของลูกชาย ครั้งเรือแล่นมาถึงบริเวณแหลมละไม เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือล่ม สินสอดทองหมั้นที่เตรียมมาจมน้ำหายไปจนสิ้น ส่วนญาติสนิทมิตรสหายที่เดินทางมาร่วมกัน จมน้ำเสียชีวิตกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย รายรอบเกาะ สมุย หลายๆคนถูกน้ำพัดไปกลายเป็นหมู่เกาะอ่างทอง นายคงถูกน้ำซัดไปทางหาดเชิงมนเสียชีวิตกลายเป็นเกาะกง ด้านนายปราบนั้นเกาะเรือสำเภาของตัวเองลอยไปทางอ่าวบ้านดอน จนก่อนจะเข้าอ่าวบ้านดอนเรือสำเภาจมลงจนกลายเกาะนกเภา ส่วนนายปราบนั้นเสียชีวิตกลายเป็นเกาะปราบ อยู่บริเวณอ่าวบ้านดอนนั้นเอง คงเหลือรอดชีวิตแค่ตาเครงและยายเรียมที่ถูกน้ำทะเลพัดเข้าหาดละไม ทั้งตาและยายเสียใจมาก และกลัวว่าตาม่องล่ายจะคิดว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูด จึงพากันกลั้นใจกระโดดน้ำตาย กลายเป็นหินตาหินยายทุกวันนี้ โดยสามารถเดินทางโดยผ่านถนนรอบเกาะสมุย ทางหลวงหมายเลข 4169 มุ่งหน้าไปทางหาดละไมให้สังเกตป้ายบอกทาง ถ้าหากมาจากหาดเฉวงจะต้องผ่านหาดละไมอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงทางเข้าหินตาหินยาย แต่ถ้ามาจากทางน้ำตกหน้าเมืองหรือบ้านหัวถนน ทางเข้าหินตาหินยายจะถึงก่อนหาดละไม ทางเข้าหินตาหินยายจะเป็นซอยเล็กๆ ที่บริเวณปากทางจะมีป้ายบอกชัดเจน ตรงเข้าซอยไปอีกเล็กน้อย ก็จะเห็นหินตาหินยายตั้งอยู่ริมหาด
ที่มาอ้างอิงจาก:หินตา-หินยาย-เทศบาลนครเกาะสมุย https://www.kohsamuicity.go.th/travel/detail/1375/data.html
3. วัดศก ถ้ำพันธุรัตน์
เชื่อกันว่าโพรงถํ้าภายในวัดแห่งนี้ คือถํ้าของนางพันธุรัตน์ที่พระสังข์ได้เข้ามาซ่อนตัวอยู่ก่อนหนีไป(หรือเนื้อความเรื่องสังข์ทอง ตอนที่ ๔ พระสังข์หนีนางพันธุรัตน์ ละครนอกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) และนางยักษ์ได้มาขาดใจตายใกล้กับบริเวณนี้
จนเป็นที่มาของชื่อบ้านศพหรือบ้านศกในเวลาต่อมา โดยที่วัดศกจะมีรูปปั้นจำลองของนางพันธุรัตน์และพระสังข์น้อยที่ยังไม่ถอดรูปเงาะไว้ที่ปากถํ้า เเละภายในถ้ำมีพระประธานองค์ใหญ่ไว้ให้กราบไหว้ขอพร
คลิปวิดิโอ : ถ้ำพันธุรัตน์ อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่มาอ้างอิงจาก: วัดศกถ้ำพันธุรัตน์: SOK Temple
https://www.chillpainai.com/travel/196/วัดศก-ถ้ำพันธุรัตน์/
4. จ้าววังโนราห์
คลองอีปันซึ่งเป็นคลองธรรมชาติแยกจากแม่น้ำตาปีในจังหวัดสุราษฎธานีนั้น เป็นคลองที่กล่าวกันว่าในอดีตชุกชุมด้วยจระเข้ใหญ่น้อยมากมายและหนึ่งในนั้นที่ถือว่าเป็นตำนานเล่าขานของสองฝั่งคลองอีปันก็คือสถานที่ที่เรียกกันว่า วังโนราห์
เหตุที่ได้ชื่อนี้มีเรื่องเล่าว่า ณ ค่ำคืนหนึ่งคณะมโนราห์กลับจากการไปแสดงในยามดึกจำต้องล่องเรือสำปั้นใหญ่ ผ่านเข้าสู่เวิ้งน้ำกว้างของคลองอีปัน ทันใดนั้นเองก็ปรากฏจระเข้ใหญ่อันซ่อนเร้นกายอยู่ในวังน้ำจู่โจมหมุนเรือจนคว่ำและขย้ำฉีกกินเหล่ามโนราห์เคราะห์ร้ายจนหมดทั้งลำเรืออย่างสยองขวัญ สถานที่แห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกระแสโลหิตอันไหลหลั่งเต็มท้องธาร ณ ที่แห่งนั้นจึงได้รับการเรียกขานกันว่า วังโนราห์ และเรียกขานขนานนามจ้าวผู้ครอบครองวังน้ำแห่งนั้นว่า จ้าววังโนราห์ จากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นานนักก็ปรากฏเหยื่อเคราะห์ร้ายอีก 2 รายซ้อน ๆ กัน ทั้งคู่เป็นชายชาวบ้านน้ำและเป็นคู่หูคู่เกลอกันมายาวนาน วันหนึ่งทั้งสองออกไปตัดหวายตามปกติเพื่อนำมาจุลเจือครอบครัวบริเวณทางตอนเหนือของคลองและก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านแถบละแวกดังกล่าวพร้อมผู้ใหญ่บ้านต่างระดมลูกบ้านออกตามหาแต่ก็ไม่เจอ เพียงแต่ปรากฏพบแต่ลำเรือของเกลอทั้งสองที่ถูกคว่ำจนจมและแตกละเอียดดั่งโดนแรงมหาศาลของพญาสัตว์เข้าขย้ำเล่นงาน จนชาวบ้านต่างลงความเห็นว่า ชายทั้งสองโดนจ้าววังโนราห์คาบไปกินเสียแล้ว
อีกไม่กี่วันต่อมาก็ปรากฏหญิงสาวชาวน้ำพายเรือกำลังจะกลับบ้านแต่เมื่อผ่านวังโนราห์แล้วก็หายตัวไป ชาวบ้านพบเพียงเรือพายที่คว่ำพร้อมกับมีรอยแตกจากการขบกัดด้วย แรงมหาศาลซึ่งคาว่าน่าจะเป็นฝีมือของจ้าววังโนราห์เช่นกัน หลังจากได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์มาหลายๆครั้ง จระเข้ร้ายเริ่มรู้สึกติดใจจึงเริ่มออกอาละวาดอีกคราวนี้เหยื่อเป็นชายชราผู้มีอาชีพหาของป่าถูกคว่ำเรือและถูกลากไปกินอีกราย
ท่ามกลางความหวาดกลัวของชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านจึงทำการว่าจ้างหมอปราบจระเข้ฝีมือฉกาจมาจากแหล่งต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจ้าววังโนราห์จะรู้ทัน มันกบดานเงียบ จนชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่ามันเป็นจระเข้ผีสิง
แต่ด้วยความสามารถของ โอม ชุมทอง พรานจระเข้หนุ่มฝีมือดีที่เข้ามาล่าจ้าววังมโนราห์จนมันต้องหนีหัวซุกหัวซุนและถูกจัดการ ความสงบสุขของที่นี่จึงหวนกลับมาอีกครั้ง เหลือเพียงตำนานเล่าขานถึงความโหดร้ายอำมหิตของจระเข้ร้ายที่ชื่อ จ้าววังโนราห์ เอาไว้
ที่มาอ้างอิงจาก:เหลือเชื่อที่สุด !!! เปิด ๓ ตำนาน "จระเข้โหดกินคน" เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ ในประวัติศาสตร์ของคนไทย ที่น้อยคนที่จะรู้ !!!
https://www.tnews.co.th/variety/316530
5. พญาท่าข้าม
เป็นตำนานที่เล่าสืบกันมานานว่า เมื่อครั้งปลายกรุงศรีอยุธยาทหารพม่าตีโรมรันเผาผลาญกรุงศรีอยุธยาแตกสลาย แม่ทัพนายกองต่างส้องสุมผู้คนรวมตัวแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าหลายชุมนุมเช่นก๊กพระยาฝาง ก๊กพระเจ้าตากและอีกมากมาย ในสภาพที่บ้านแตกสาแหรกขาดต่างคิดกู้บ้านเมืองกัน หนึ่งในก๊กเหล่านั้นมีนายทหารขุนพลฝีมือเยี่ยมทั้งทางรบและเวทย์มนต์คาถามาตั้งพำนักที่บริเวณเนินสูงของบ้านท่าข้าม อำเภอพุนพินหรือบริเวณควนท่าข้ามในปัจจุบัน ไพร่พลที่อพยพมามากมายต่างจัดหาเสบียงอาหารตั้งหลักแหล่งทำไร่นาเป็นชุมชนขึ้นมาเรียกแถบที่ตั้งพำนักด้านล่างติดกับบนเนินสูงว่า นาศรีสงคราม
ขุนศึกคนนี้มีตำแหน่งเป็นพระยา เมื่อมาอยู่ที่ท่าข้ามได้จัดสร้างเครื่องรางของขลังเป็นพระเนื้อดินเผา โดยเฉพาะพระยอดขุนพล เพื่อแจกจ่ายบำรุงขวัญในยามรบทัพจับศึก พระยาคนนี้มีวิชาอาคมกลายร่างเป็นเสือ หรือจระเข้ได้ ได้กลายร่างเป็นจระเข้ลงสู่แม่น้ำตาปี อาศัยในบริเวณถ้ำใต้น้ำ (บริเวณศาลพญาท่าข้ามริมทางรถไฟปัจจุบัน) ว่ากันว่าตรงนั้นมีถ้ำใต้น้ำยาวกว่าสิบกิโลเมตร
เมื่อรวบรวมพลมาอยู่ที่ท่าข้าม พญาขุนศึกผู้นี้จึงถูกเรียกว่า “พญาท่าข้าม” และด้วยต้องพลัดพรากจากภรรยาตอนกรุงแตก เมื่อแปลงร่างเป็นจระเข้เที่ยวท่องไปตามสายน้ำ จึงมักได้หญิงงามตามเส้นทางที่ผ่านเป็นภรรยาเสมอ ภรรยาคนแรกของพญาท่าข้ามที่มีชื่อว่า แม่ยายถิน นั้น เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเช่นกัน (ปัจจุบันมีศาลบูชาตั้งอยู่ที่ริมถนนตาปีเจริญ)หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลาแม่ยาย เชื่อกันว่าหากบนบานศาลกล่าวด้วย ต้มเปียกสองคนหาม ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากข้าวจ้าวนำมาต้มใส่น้ำตาล แล้วใช้คนสองคนยกมาถวาย ไม่ว่าขนมนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม จะประสบผลสำเร็จตามคำขอทุกราย
ส่วนภรรยาคนที่ 2 นั้นเป็นชาวเกาะเหนอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า แม่ยายเกาะเหนอ นอกจากนี้พญาท่าข้ามยังได้ แม่ยายบางบาน ชาวตำบลท่าโรงช้าง แม่ยายบ้านนา ชาวตำบลน้ำนิ่ง อำเภอบ้านนาเดิม แม่ยายระนอง แม่ยายถลาง จังหวัดภูเก็ต และแม่ยายม่วงเอน อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นภรรยาอีกด้วย
จนกระทั่งเกิดไปหลงรัก แม่ยายปากปัน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า แม่ศรีวันทอง นางพญาจระเข้ซึ่งงามผุดผาดด้วยมีผิวพรรณเหลืองเปล่งปลั่งประดุจทอง แต่แม่ศรีวันทองนั้นมีคู่รักอยู่แล้วชื่อ พญายอดน้ำ ซึ่งมีอาคมแก่กล้าสามารถแปลงร่างเป็นงูยักษ์ได้ จึงเกิดศึกชิงนางระหว่างพญาท่าข้ามในร่างจระเข้ กับพญายอดน้ำในร่างงูยักษ์หลายวันหลายคืนจนเลือดแดงฉานไปทั้งแม่น้ำตาปี แต่ท้ายที่สุดพญายอดน้ำก็อ่อนแรงจนต้องล่าถอยกลับไป แล้วสายโลหิตแดงฉานที่ปกคลุมบริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ทำให้พื้นดินเปลี่ยนเป็นสีแดง ชาวบ้านจึงเรียกขานว่า บ้านย่านดินแดง (อำเภอพระแสงในปัจจุบัน)
ในปัจจุบันชาวพุนพินต่างก็เคารพศรัทธาในพญาท่าข้ามมาก จนมีศาลบูชาถึง 2 แห่ง แห่งแรกนั้นตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำตาปี ริมทางรถไฟข้างศาลเจ้าสุราษฎร์ฯ ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้นตั้งอยู่ในบริเวณวัดท่าข้ามหลังจากมีการสร้างสะพานขวางแม่น้ำตาปีแล้ว ท่านพญาท่าข้ามท่านจึงอยู่ในเขตที่ตั้งวังของท่าน ท่านเป็นจระเข้ที่เกิดจากวิชาอาคมจึงไม่ลอดสะพานไปที่อีกซีกหนึ่งของแม่น้ำที่สะพานทอดกั้นไว้
โดยชาวท่าข้ามก็ยังมีความเชื่อว่า พญาท่าข้าม คือผู้ที่คอยปกปักษ์คุ้มครองคนดี เเละสามารถบนบานศาลหรือ ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจ ที่มีความผูกพัน ผสมกลมกลืนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่ง ที่อยู่คู่สายน้ำตาปี และชนชาวท่าข้ามตลอดนานเท่านาน
ที่มาอ้างอิงจาก: พญาท่าข้าม-ที่นี่มันสุราษฎร์V.2
https://web.facebook.com/Surat.fanpage/photos//พญาท่าข้าม-เป็นตำนานที่เล่าสืบกันมานานว่า-เมื่อครั้งปลายกรุงศรีอยุธยาทหารพม่าตี/2067399130070906/?_rdc=1&_rdr